ขลิบ กับ ไม่ขลิบ ต่างกันอย่างไร?

ขลิบคืออะไร? ขลิบกับไม่ขลิบต่างกันอย่างไร? ไม่ขลิบได้ไหม? ขลิบแล้วใหญ่ขึ้นจริงไหม? หากพูกถึงการขลิบอวัยวะเพศ หลายคนอาจจะนึกถึงชายที่ต้องขลิบตามหลักศาสนามุสลิม ไม่ทราบถึงข้อดีมากมายนัก

แท้จริงแล้วมีการสำรวจว่าทางอเมริกาเอง ถือเป็นประเทศที่มีอัตราการขลิบสูงมาก โดยผู้ชายเกือบ 70% จะขลิบปลายอวัยวะเพศ แต่สำหรับเมืองไทยการขลิบยังนิยมทำกันอยู่ในคนเฉพาะกลุ่ม ทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่เห็นประโยชน์มากมายของการขลิบ และกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลาม

การขลิบหนังหุ้มปลายคือ ?

การขลิบ เป็นการตัดหนังที่หุ้มส่วนปลายของอวัยวะเพศชายออก เพื่อให้สามารถรูดหนังหุ้มอวัยวะเพศให้เปิดออกเพื่อดูแลความสะอาด จริงๆ แล้วการขลิบมีทั้งการขลิบตามหลักศาสนา และการการขลิบเพื่อรักษาหนังหุ้มปลายไม่เปิด ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการรักษาทางเลือกสุดท้าย หลังจากที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการอื่นแล้ว

ซึ่งจะขลิบหรือไม่ สมควรที่จะให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความเหมาะสม โดยมักทำตั้งแต่ตอนที่เด็กมีอายุไม่เกิน 1 สัปดาห์ ซึ่งในอดีตการขลิบเกิดขึ้นเพื่อทำตามข้อบังคับทางศาสนา แต่ในปัจจุบัน พ่อแม่บางคนก็เชื่อว่าการขลิบช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งที่อวัยวะเพศได้ โดยผู้ปกครองสามารถนำลูกหลานไปรับคำปรึกษาได้ในโรงพยาบาลทั่วไปที่มี ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ ศัลยแพทย์ทั่วไปหรือกุมารศัลยแพทย์การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย

ทำไมถึงต้องขลิบ ขลิบมีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

นอกจากการขลิบ จะทำตามหลักปฏิบัติศาสนา หรือตามวัฒนธรรมและประเพณีของแต่ละท้องถิ่นแล้ว การขลิบมีประโยชน์ที่เด่นชัดดังนี้คือ

• การขลิบ ช่วยให้ง่ายต่อการรักษาสุขอนามัย ง่ายต่อการทำความสะอาด และรักษาสุขอนามัยของอวัยะเพศ ดังนั้น ผู้ที่ไม่ได้ขลิบอาจจะต้องใส่ใจในการทำงานความสะอาดเป็นพิเศษ
• การขลิบ ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่ท่อปัสสาวะลง การติดเชื้อในท่อปัสสาวะนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป แต่การขลิบจะช่วยลดโอกาสการเกิดได้ เนื่องจากลดการสะสมของเชื้อโรคบริเวณหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ
• การขลิบ ช่วยลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงการติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
• การขลิบ ช่วยป้องกันปัญหาที่องคชาติ เป็นการป้องกันปัญหาหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศหรือหัวองคชาติอักเสบได้
• การขลิบ ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งองคชาติ แม้ว่าโรคมะเร็งองคชาติจะเป็นโรคที่พบได้น้อยมาก แต่ก็จะน้อยลงไปอีกสำหรับผู้ที่ผ่านการขลิบ

สรุปสั้นๆ ขลิบ ไม่ขลิบต่างกันอย่างไร?

• ขลิบ ทำความสะอาดง่าย ดูแลได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่ได้ขลิบ
• ถ้ามีก้อนที่หัวอวัยวะเพศก็จะมองเห็นได้ง่าย อัตราการเกิดมะเร็งอวัยวะเพศน้อยกว่า ผู้ที่ไม่ได้ขลิบ
• ลดการเกิดแผลอักเสบติดเชื้อที่หนังหุ้มปลาย
• ผู้ที่ไม่ได้ขลิบ มีโอกาศเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออก แผลอักเสบ หนังตึงดึงรั้งเกินไป ปลายรูเปิดท่อปัสสาวะตีบ หรือถ้ามีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอาจมี อวัยวะเพศโค้งงอผิดรูป ได้น้อยกว่าผู้ที่ทำการขลิบ

หากต้องการขลิบอวัยวะเพศเพื่อเป็นการรักษา แก้ปัญหาในการดำรงชีวิต มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนช่วยในการตัดสินใจว่าต้องทำการขลิบ หรือไม่ เช่น
• กรณี หนังหุ้มปลายตีบ ไม่สามารถรูดเปิดได้
• กรณีการ มีแผลปริแตกอักเสบบ่อยๆ ที่หนังหุ้มปลายหรือแม้กระทั้ง กรณีหนังหุ้มปลายแคบแต่ไม่ถึงกับตีบ สามารถสังเกตได้ตั้งแต่วัยเด็ก มักเกิดปัญหาอักเสบเป็นๆ หายๆ และต่อมาก็อาจรูดเปิดหนังไม่ได้ หรือรูดเปิดได้แต่ไม่สามารถรูดปิดได้เพราะหนังบวม จึงควรทำการขลิบเพื่อรักษา

ขลิบ ช่วยให้อวัยวะเพศชายใหญ่ขึ้น?

การขลิบ ช่วยให้อวัยวะเพศใหญ่ขึ้นได้จริง ซึ่งการขลิบมีผลทำให้ “น้องชาย” ขยายใหญ่โต และเจริญเติบโตเต็มที่ เพราะว่าโครงสร้างของอวัยวะเพศเป็นฟองน้ำ ซึ่งถ้าเรานำไปแช่น้ำ ยิ่งแช่นาน มันก็ยิ่งขยายตัว

โดยหน้าที่ของอวัยวะเพศมีสองอย่างคือ ใช้ปัสสาวะและมีเพศสัมพันธ์ หากคุณใช้ปัสสาวะเพียงอย่างเดียว แป๊บเดียวมันก็หดลงแล้ว หากเราใช้เพื่อเพศสัมพันธ์ ด้วยเวลาที่นานขึ้น เพิ่มเวลาคู่รักด้วยการหลังช้าขึ้นหน่อย จะทำให้อวัยวะเพศมีการใช้งานมากขึ้น และเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงส่วนนั้นก็จะมีผลทำให้อวัยวะใหญ่หรือแข็งแรงขึ้นได้

แต่ถ้าหลั่งไม่เกินห้านาที ผู้หญิงไม่มีทางได้เกิดความสุขหรอก ดังนั้น อวัยวะเพศที่ไม่ได้รับการขลิบก็มักจะหลั่งไว เราก็เลยได้ใช้งานน้อย มันก็เลยทำให้ไม่โตเท่าที่ควร

โดยทั่วไป ขริบแล้ว นอกจากจะทำให้หลั่งช้าลง 90% เพราะการที่เราเปิดหนังหุ้มแล้ว หัวก็จะออกมาตลอดเวลา จะเกิดการเสียดสีตลอดเวลา และจะทำให้มีการต้านทานที่ดีขึ้น คือไม่ไวเกินความจำเป็น และเมื่อมีเพศสัมพันธ์ มันก็จะนานขึ้นด้วย ลดปัญหาการหลั่งเร็ว แต่ถ้าใครขริบแล้วหลั่งเร็ว ก็อาจจะเกิดมาจากปัญหาเกี่ยวท่อปัสสาวะมากกว่า

และในปัจจุบันนี้เองก็เริ่มมีคนที่ขลิบจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ได้แพร่หลาย สรุป ถ้ามีข้อบ่งชี้อย่าลังเลที่จะขลิบ เพราะความจริงภาวะแทรกซ้อนจากการขลิบมีโอกาศเกิดขึ้นไม่มากนัก โดยเฉพาะถ้าทำโดยแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน ก็ตัดความกังวลไปได้มาก