แม้เทคโนโลยีโลกปัจจุบันสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วสัมผัส แต่ก็ยังมีท่านสุภาพบุรุษอีกหลายท่านที่ยังขาดความรู้ในเรื่องโรคต่างๆเกี่ยวกับอวัยวะเพศของตัวเอง หรือโรคที่เกี่ยวกับองคชาต
เหตุผลที่เราควรศึกษาเรื่องเหล่านี้ไว้บ้างก็เพื่อจะได้สังเกตุเวลาที่ อวัยวะเพศของเรามีอาการเจ็บป่วยหรือมีความผิดปกติเกิดขึ้น บางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางอย่างก็เป็นได้
ถึงแม้ว่าบางครั้งเรามีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง แต่โรคบางโรคอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย หากเรามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง อย่างน้อยก็ช่วยทำให้เราไม่ละเลยเรื่องเล็กๆน้อยๆที่จะก่อให้เกิดโรคร้ายได้
1.โรคหนองในแท้ (Gonorrhea)
เป็นโรคติดต่อที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิงจากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งสาเหตุมาจากเจ้าแบคทีเรียที่มีเชื่อว่า “ไนซ์ซีเรีย โกโนร์เรีย (Neisseria Gonorrhoeae)” มีความสามารถในการเจริญเติบโตในเยื่อบุร่างกายได้ดี โดยมีปัจจัยความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้เพิ่มขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีคู่นอนร่วมกับผู้อื่น นอกจากนี้ก็มักเกิดกับผู้ที่มีอายุยังน้อย มีเพศสัมพันธุ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
อาการติดเชื้อหนองในแท้ที่เกิดกับผู้ชาย ได้แก่
- เจ็บหรือแสบขณะที่ปัสสาวะ
- มีหนองไหลออกจากส่วนปลายขององคชาต อาจเกิดขึ้นหลังการมีเพศสัมพันธ์
- มีอาการอักเสบหนังหุ้มที่ปลายองคชาต
- มีอาการเจ็บ บวม ฟกช้ำที่ลูกอัณฑะข้างใดข้างหนึ่ง
การวินิจฉัยโรคหนองในแท้ในผู้ชาย
การวินิจฉัยโรคหนองในแท้สามารถทำได้หลายวิธี โดยในเพศชายนั้น มักใช้วิธีการตรวจปัสสาวะ หรือเก็บตัวอย่างของเหลวที่ออกมาจากปลายองคชาต โดยที่ผู้ป่วยต้องงดปัสสาวะมาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนเก็บตัวอย่างส่งตรวจ
การรักษาโรคหนองในแท้
ผู้ป่วยโรคหนองในแท้สามารถรักษาได้ด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ หลังจากได้รับยา 2-3 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น และหลังจาก 1-2 สัปดาห์ไปแล้วผู้ป่วยต้องไปพบแพทย์ตามนัดอีกครั้ง แม้ว่าอาการต่างๆจะหายดีแล้วก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะแพทย์จะได้ตรวจดูโดยละเอียดอีกครั้งว่าเชื้ออถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว หรือเกิดการติดเชื้อใหม่อีกหรือไม่
2.เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes)
เป็นโรคติดต่อทางเพศ ผู้ป่วยจะติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus: HSV) ที่บริเวณอวัยวะเพศ ทำให้เกิดอาการเจ็บ คัน มีบาดแผลตุ่มพองบริเวณองคชาต และอาจจะมีอาการเจ็บขณะปัสสาวะร่วมด้วย
สาเหตุของเริมที่อวัยวะเพศ
เริมที่อวัยวะเพศเกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus: HSV) ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิดคือ ชนิด HSV-1 ไวรัสที่เป็นสาเหตุของเริมที่ปากและที่อวัยวะเพศ ส่วนอีกชนิดคือ HSV-2 ไวรัสที่เป็นสาเหตุของเริมที่อวัยวะเพศ
การวินิจฉัยเริมที่อวัยวะเพศ
โดยทั่วไปการตรวจเริมที่อวัยวะเพศ มักใช้วิธีการตรวจร่างกาย แต่ในบางกรณีอาจต้องตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีการอื่นด้วย เช่น การเพาะเชื้อ การตรวจเลือด เป็นต้น
การรักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศ
ปัจจุบันนี้โรคเริมยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถใช้การรักษาและบรรเทาโดยยาต้านไวรัสได้อย่างเช่นยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) และยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) ซึ่งจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นในผู้ที่เพิ่งมีอาการ ช่วยบรรเทาความรุนแรง ช่วยลดระยะเวลา และความถี่ของการกลับมาเกิดซ้ำ นอกจากนี้ยังลดโอกาสการแพร่เชื้อไวรัสสู่ผู้อื่นอีกด้วย โดยแพทย์อาจจะให้ผู้ป่วยรับประทานยาตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มแสดงอาการ
3.ฝีมะม่วง (Lymphogranuloma Venereum: LGV)
เป็นการติดเชื้อคลาไมเดีย (Chlamydia Trachomatis) จากการมีเพศสัมพันธ์ ส่วนใหญ่จะติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธุ์หรือทวารหนัก ผู้ป่วยโรคนี้มักจะมีต่อมน้ำเหลืองโตข้างใดข้างหนึ่ง โดยเกิดตุ่มหรือแผลขนาดเล็กที่อวัยวะเพศก่อน หลังจากนั้นต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบจะอักเสบ ทำให้เกิดอาการปวดบวมและเดินลำบาก
อาการของโรคฝีมะม่วง
ระยะที่ 1 หลังการรับเชื้อมาจะแสดงอาการใน 3 สัปดาห์ โดยผู้ป่วยจะมีตุ่มนูนเล็กๆขึ้นมา อาจเกิดอาการคล้ายท่อปัสสาวะอักเสบ และอาจได้รับผลกระทบต่ออวัยวะสืบพันธ์ รวมถึงหลอดน้ำเหลืองที่องคชาต
ระยะที่ 2 อาการของโรคอาจกำเริบรุนแรงขึ้น โดยจะพบอาการเป็นก้อนนุ่มสีใสที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ อาจมีไข้ ปวดศีรษะ ง่วงซึม คลื่นไส้ อาเจียน และปวดตามข้อ
ระยะที่ 3 การอักเสบเรื้อรังของโรคนี้อาจทำให้เกิดฝี ท่อน้ำเหลืองอุดตัน ลำไส้ตรงผิดรูป และลำไส้ใหญ่ติดเชื้อ และอาจเกิดแผลลุกลามซึ่งส่งผลให้อวัยวะสืบพันธุ์ผิดปกติ
การรักษาโรคฝีมะม่วง
การรักษาโรคฝีมะม่วงสามารถรักษาได้ 2 วิธี คือ การรักษาด้วยยา โดยแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะแก่ผู้ป่วย เพื่อรักษาการติดเชื้อและป้องกันเชื้อแบคทีเรียทำลายเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ส่วนอีกวิธีคือการรักษาด้วยการผ่าตัด โดยผู้ป่วยที่มีก้อนฝีหรือต่อมน้ำเหลืองบวมโตจะต้องเจาะผิวเอาของเหลวในฝีออกมา เพื่อบรรเทาอาการของโรคให้ทุเลาลง และบางรายที่เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด
4.ซิฟิลิส (Syphilis)
เกิดจากติดเชื้อแบคทีเรียจากการมีเพศสัมพันธ์ อาการของโรคนี้จะทำให้เกิดผื่นหรือแผลตามผิวหนัง และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงขึ้นหากไม่รักษา
สาเหตุของโรคซิฟิลิส
โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “ทริปโปนีมา พัลลิดุม (Treponema Pallidum)” โดยอาจจะติดจากการสัมผัสถูกเชื้อโดยตรงจากแผลของผู้ป่วย ยิ่งเฉพาะในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นโรคนี้จึงถูกจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้การใช้เข็มฉีดยารวมกับผู้อื่น การรับเลือดจากผู้อื่น
การรักษาโรคซิฟิลิส
โดยทั่วไปแล้วโรคนี้สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) แม้ว่าอาการของโรคในระยะแรกมักเกิดขึ้นแล้วหายไป แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย จึงจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ก่อนที่โรคจะมีการพัฒนารุนแรงต่อระบบอื่นในร่างกาย และในช่วงของการรักษา ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค และควรให้คู่นอนมาตรวจด้วยเช่นกัน
นอกจากโรคต่างๆที่กล่าวมา 4 โรคข้างต้นแล้วก็ยังมีโรคอื่นๆที่สามารถเกิดขึ้นกับองคชาตของเหล่าสุภาพบุรุษได้อีก ดังนั้นหากคุณมีอาการต้องสงสัยตามที่กล่าวมา อย่ามัวแต่เขินอาย หรือคิดว่าอาการเล็กน้อยคงไม่เป็นอะไร อย่างน้อยในเบื้องต้นควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการทั่วไป หรือจะไปหาแพทย์เฉพาะทางโดยตรงเลยก็ได้ ก่อนที่จะสายเกินแก้
รับคำปรึกษาเบื้องต้น กับ “หมอเบียร์” ฟรี
สอบถามข้อมูลการรักษาและบริการเพิ่มเติม นัดหมายล่วงหน้า การเดินทางมาคลินิก
LINE:@ETERNITYCLINIC4
Facebook:@Eternityclinicthai
นพ.สืบพงษ์ เอ่งฉ้วน “หมอเบียร์”
ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์เพศชาย (Urologist)
ศัลยกรรมทั่วไป (General surgeon)
บทความล่าสุด
วิธีแก้อาการหลั่งเร็ว ทำอย่างไรได้บ้าง
การหลั่งเร็วหรื
น้องชายสั้น อยากยาว ทำไงดี
เล็กสั้นขยันซอย
หย่อนสมรรถภาพทางเพศ คืออะไร รักษาได้ไหม
ปัญหานกเขาไม่ขั
เพิ่มความยาวอวัยวะเพศ ทำได้จริงไหม
ใครว่าความยาวน้
ทำยาวที่หมอเบียร์ ดีกว่ายังไง
ถ้าให้พูดถึงเรื
จู๋สั้นไม่ต้องกังวล หมอเบียร์ทำให้ยาวได้
ผู้ชายหลายคนยัง
ภาวะหลั่งเร็ว สาเหตุเกิดจากอะไร
อาการ ภาวะ หลั่
ทำยาว ที่ยาวได้มากกว่า ของหมอเบียร์ แตกต่างกับที่อื่นอย่างไร
หลายท่านแก้ปัญห