กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจากบริเวณรอบท่อปัสสาวะ โดยส่วนใหญ่มักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากผู้หญิงมีท่อปัสสาวะสั้นและอยู่ใกล้กับช่องคลอดและทวารหนัก ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะผ่านทางท่อปัสสาวะได้โดยง่าย
ขณะที่ผู้ชายมีท่อปัสสาวะยาวกว่าและอยู่ห่างจากทวารหนัก โอกาสที่เชื้อโรคจะผ่านเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะจึงมีน้อยกว่ามาก โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น อีโคไล เชื้อโรคเหล่านี้จะมีอยู่มากบริเวณรอบๆ ทวารหนัก สามารถปนเปื้อนผ่านเข้าท่อปัสสาวะและเข้ามาในกระเพาะปัสสาวะได้
ซึ่งเชื้อโรคมาจากทวารหนักเป็นสาเหตุสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อมีสภาวะที่อำนวย เช่น ความไม่สะอาดกิจกรรมทางเพศสัมพันธ์ โรคเบาหวาน และยังมีโรคในทางเดินปัสสาวะหลายโรคเอื้ออำนวยให้เกิด หรือเกิดร่วมกันกับกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แต่ที่พบบ่อยคือกลุ่มสาวออฟฟิศ ที่ทำงานแบบไม่ค่อยลุกออกจากโต๊ะ ชอบอั้นปัสสาวะไว้นานๆ
หรือกลุ่มที่ต้องเดินทางไกลแล้วไม่อยากใช้ห้องน้ำสาธารณะ รวมถึงการดื่มน้ำน้อยไปในแต่ละวัน และเมื่อมีอาการ หลายคนมักเลือกที่จะอดทนกับความทรมาน หรือไม่ก็ไปซื้อยามากินเอง เนื่องจากมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยหรืออายที่จะไปพบแพทย์ แต่รู้ไหมว่า กระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
เพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้ออื่นๆ ที่รุนแรง รวมถึงกลายเป็นโรคอื่นได้อีกด้วย ในบทความนี้จะมาพูดถึงอาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จากสาเหตุที่ทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ การดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และวิธีการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไปดูกันเลยครับ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ อาการเป็นอย่างไร
- ปวดหน่วงท้องน้อย ปวดแสบ ขัด ขณะปัสสาวะโดยเฉพาะตอนปัสสาวะสุด
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- รู้สึกระคายเคือง เจ็บ แสบร้อนขณะปัสสาวะ
- ปวดปัสสาวะบ่อย ครั้งละน้อยๆ เหมือนปัสสาวะออกได้ไม่สุด
- ปัสสาวะเป็นเลือด หรือมีเลือดปนช่วงปลายของการปัสสาวะ
- ปัสสาวะขุ่น บางครั้งมีกลิ่นผิดปกติ ในรายที่เป็นมากอาจปัสสาวะมีเลือดปน
กระเพาะปัสสาวะอักเสบเกิดจากสาเหตุอะไร
- เกิดจากพฤติกรรมการกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ ส่งผลให้เชื้อโรคมีการเจริญเติบโตมากขึ้น และมีแรงดันในกระเพาะปัสสาวะที่ทำให้เยื่อบุผิวยึดตัว จนเชื้อโรคฝังตัวอยู่ในกระเพาะปัสสาวะเกิดเป็นการอักเสบ
- การชำระล้างอวัยวะเพศ(หญิง) ไม่ถูกวิธี หรือไม่ระมัดระวัง โดยหลังจากทำธุระเสร็จควรล้างหรือใช้กระดาษชำระเช็ดทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคจากบริเวณทวารหนักเข้าสู่ท่อปัสสาวะ
- ในชายอายุ 50-60 ปีขึ้นไปที่มีภาวะต่อมลูกหมากโต เป็นปัจจัยทำให้ชายสูงอายุเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้เท่าเทียมกับผู้หญิงสูงอายุ
ดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ไม่กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานระหว่างวัน เพื่อขับเชื้อโรคออกจากร่างกาย
- ดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ ให้เพียงพอ
- ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศทุกครั้งหลังปัสสาวะหรืออุจจาระเสร็จอย่างถูกวิธี
- ทำความสะอาดร่างกายและอวัยวะเพศทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์
วิธีการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
แนวการรักษาหลักๆ คือการให้ยาปฏิชีวนะประมาณ 3-5 วันขึ้นอยู่กับชนิดของยา ร่วมกับการรักษาตามอาการหากจำเป็น เช่น ยาแก้ปวดชนิดคลายการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ และพยายามดื่มน้ำให้มากๆ ทั้งนี้ ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยารับประทานเองเนื่องจากอาจได้ยาที่ไม่ตรงกับชนิดของเชื้อโรคและจะทำให้ดื้อยาได้ง่าย
สรุป กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นเรื่องที่ต้องระวัง โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทำงานที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย แต่ก็มีวิธีที่สามารถป้องกันได้ เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เราสามารถลดความเสี่ยงการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้โดยการไม่อั้นปัสสาวะ นานเกิน 6 ชม. และควรดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อขับเชื้อโรคออกจากร่างกาย
ทั้งนี้ กระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นโรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรม หากเป็นซ้ำๆ หลายครั้งก็มีโอกาสพบเชื้อโรคที่ดื้อยามากขึ้นเรื่อย ๆ และอาจจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อที่มีความรุนแรงมากขึ้น และยังสามารถพัฒนากลายเป็นโรคกรวยไตอักเสบได้อีกด้วย หากต้องการปรึกษากับทางอีเทอร์นิตี้คลินิก สามารถติดต่อที่คลินิก หรือสอบถามผ่านทาง Line OA ได้เลยครับ
Q&A คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
Q : ต่างจาก “กรวยไตอักเสบ” อย่างไร และสัญญาณเตือนอันตราย คืออะไร
A : ถ้ามี ไข้ หนาวสั่น ปวดเอว/สีข้าง คลื่นไส้ อ่อนเพลียมาก ให้สงสัยกรวยไตอักเสบ ควรพบแพทย์ด่วน
Q : น้ำแครนเบอร์รีช่วยไหม?
A : มีหลักฐานว่าอาจช่วย ลดการเป็นซ้ำ ในบางคน แต่ ไม่ใช่การรักษาแทนยาปฏิชีวนะ หากมีอาการชัดควรพบแพทย์
Q : จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งไหม และกี่วัน?
A : ส่วนใหญ่จำเป็น แพทย์จะเลือกยาตามอาการ/ปัจจัยเสี่ยง และอาจส่ง เพาะเชื้อปัสสาวะ ระยะใช้ยาทั่วไป 3 – 5 วัน (ขึ้นกับชนิดยาและรายบุคคล) ห้ามหยุดยาเอง
Q : ซื้อยากินเองได้ไหม?
A : ไม่ควร เพราะเสี่ยง ยาผิดชนิด/ขนาด และดื้อยา ควรประเมินและสั่งยาตามความเหมาะสมโดยแพทย์
Q : ทำอย่างไรไม่ให้เป็นซ้ำ?
A : ไม่อั้นปัสสาวะ ดื่มน้ำพอ เช็ดทำความสะอาด จากหน้าไปหลัง ปัสสาวะหลังมีเพศสัมพันธ์ เลือกชุดชั้นในโปร่ง ระวังคาเฟอีน/แอลกอฮอล์เมื่อมีอาการ






รับคำปรึกษาเบื้องต้น
สอบถามข้อมูลการรักษาและบริการเพิ่มเติม นัดหมายล่วงหน้า การเดินทางมาคลินิก
LINE:@ETERNITYCLINIC4
Facebook:@Eternityclinicthai
นายแพทย์สืบพงษ์ เอ่งฉ้วน
ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ใบอนุญาตที่ 29458 ให้ไว้ ณ วันที่ 1 เมษายน 2546
เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาศัลยศาสตร์ เลขที่ 18321/2551
ให้ไว้ ณ วันที่ 10 กรกฎาคม 2551 (General surgeon)
เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา เลขที่
22611/2554 ให้ไว้ ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 (Urologist)
ประกาศนียบัตรเวชศาสัตร์ทางเพศ ได้รับการรับรองโดย สมาคมเพศศาสตร์คลินิกและเวชศาสตร์
ทางเพศแห่งประเทศไทย (TACSM)
บทความล่าสุด
การใช้การฝังอุปกรณ์ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ (Penile implants)
ภาวะเสื่อมสมรรถ
เทคนิคการควบคุมการหลั่งเร็ว: การฝึกฝนและการใช้เทคนิคพิเศษ
หนึ่งในปัญหาทาง
การใช้ยาเพื่อเพิ่มความยาวอวัยวะเพศ: ประสิทธิภาพและความปลอดภัย
หยุดที่จะมองข้า
ผลข้างเคียงจากการเพิ่มขนาดอวัยวะเพศ ด้วยการใช้ยาและการผ่าตัด
การมีขนาดอวัยวะ
ขลิบไร้เลือด ต่างจากขลิบปกติอย่างไร
น้องชายมีกลิ่นเ
ขลิบมีกี่แบบ ขลิบแบบไหนดีที่หมอเบียร์แนะนำ
หลายคนยังไม่ทรา
ขลิบดีไหม ข้อดีของการขลิบที่คุณอาจยังไม่รู้
หลายคนอาจสงสัยว
ขลิบคืออะไร ทำไมถึงต้องขลิบหนังหุ้มปลาย
ขลิบคืออะไร ทำไ